“We’re not interested in Cambodia. We’re only interested in it not being used as a base.” – Henry Kissinger
เมื่อพูดถึงบทบาทของสหรัฐฯ เกี่ยวกับกัมพูชา คงเลี่ยงจะไม่พูดถึง Henry Kissinger ไปไม่ได้
เพราะภาพจำของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงผู้นี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
โดยเฉพาะการทำสงครามลับในกัมพูชา หรือ Operation Menu ที่ยังส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน
หลักคิดของสหรัฐฯ ต่อกัมพูชานั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ตั้งแต่วันนั้นที่ Kissinger ยังอยู่มาจนถึงวันที่เขาจากไปแล้ว
นั่นคือสหรัฐฯ ไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับกัมพูชา แล้วก็ไม่อยากยุ่ง หากว่ามันไม่ถูกใช้เป็นฐานทัพของศัตรู
ในช่วงหลายปีที่ผ่าน สหรัฐฯ พยายามที่จะกลับเข้าไปสร้างความร่วมมือกับกัมพูชา เนื่องจากเห็นว่าอิทธิพลจีนกำลังขยายเข้าไปในระดับที่สหรัฐฯ มองว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่อดุลอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อเกิดการปราบปรามคอรัปชั่นในจีน และวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นจังหวะที่ทำให้มีแก๊งฉ้อโกงออนไลน์หลบหนีมาตั้งฐานอยู่ในกัมพูชาและเมียนมา จีนจึงใช้โอกาสดังกล่าวขยายอิทธิพลเข้ามาปราบปราม รวมถึงความร่วมมือทางทหารอื่น ๆ ท่ามกลางการจับตามองอย่างใกล้ชิดของสหรัฐฯ
ต่อมาเมื่อเกิดความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการเลยเส้นแบ่งที่รับได้ สหรัฐฯ จึงพยายามเข้ามาแทรกแซงเพื่อยุติการสู้รบโดยตรง เพราะกังวลว่าจีนจะฉวยโอกาสจากสถานการณ์ความไม่สงบ สนับสนุนกัมพูชาอย่างเต็มที่ และทำให้สหรัฐฯ สูญเสียกัมพูชาให้กับจีนอย่างสิ้นเชิงในท้ายที่สุด
สิ่งเดียวที่สหรัฐฯ ต้องการคือการใช้กัมพูชาเป็นรัฐกันชนกับจีน แบบไม่เข้าไปผูกมัดตัวเองในโครงสร้างรัฐหรือความร่วมมือด้านความมั่นคงในระยะยาว แต่จีนกลับมียุทธศาสตร์ที่วางไว้ล่วงหน้าเป็นร้อยปี แถมยังมีความแน่นอนเชิงนโยบายมากกว่า เพราะปกครองแบบอำนาจนิยมรวมศูนย์ ขณะที่สหรัฐฯ มีความผันผวนสูงกว่า
คำถามที่น่าขบคิดคือสิ่งที่ Kissinger ทำคือการปฏิเสธความรับผิดชอบต่อกัมพูชา ด้วยการใช้กัมพูชาเป็นเพียงแค่รัฐกันชนชั่วคราว หลังจากเวียดนามสิ้นสภาพภัยคุกคามแล้ว ก็ปล่อยให้กัมพูชาตกอยู่ในความวุ่นวาย เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจ เมื่อเวลาผ่านไป กัมพูชาก็ตกอยู่ในกำมือจีน ทั้งจีนแดง จีนเทา ในท้ายที่สุด ใช่หรือไม่
เมื่อมองย้อนกลับมาที่ไทย อาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องบริหารจัดการปัญหาชายแดนอย่างจริงจัง โดยระดมสมองเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาต่างคนต่างทำ คนถืออาวุธทำแบบหนึ่ง คนถือปากกาทำอีกแบบหนึ่ง ทำให้ขาดความต่อเนื่องและทันกาล และในท้ายที่สุดคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือประชาชน