เสฏฐวุฒิ อุดาการ
ช่วงนี้มีหลายบทความที่พูดถึงกันมากเกี่ยวกับการ “ล่มสลายของระเบียบโลกเสรีนิยม”
จริง ๆ แล้วประเด็นนี้มีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก
แต่ช่วงนั้นจะใช้คำว่า “ถดถอย” หรือ “Decline” มากกว่า “ล่มลาย” หรือ “End”
สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนอุบัติ ดำรงอยู่ และล่มสลาย เช่นเดียวกับอาณาจักรต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์
ระเบียบโลกเสรีนิยมในแบบของสหรัฐฯ อาจนับดูแล้วก็มีระยะเวลาเพียงแค่ราว ๆ 80 ปีเท่านั้นเอง
ถือว่ายังอ่อนเยาว์นักในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านพ้นสงครามและสันติภาพมานับไม่ถ้วน
ปัจจัยที่เร่งเร้าให้ระบอบเสรีนิยมเสื่อมถอยคงหนีไม่พ้นกลยุทธ์ “สามขั้วอำนาจ” ของทรัมป์ 2.0
กลยุทธ์นี้ทำให้โลกแบ่งออกเป็น 3 ขั้วอำนาจ ได้แก่ 1) อเมริกาเหนือ-ใต้ 2) จีนและเอเชียแปซิฟิก และ 3) รัสเซียและยุโรป ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับยุโรปยุคสามจักรพรรดิที่มีบิสมาร์กเป็นสถาปนิกที่สร้างระบบถ่วงดุลอำนาจกัน
ระบอบบิสมาร์กสามารถดำรงสันติภาพอยู่ได้หลายทศวรรษ กระทั่งเขาจากไปโลกก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
ระบอบที่ยึดโยงอยู่กับตัวบุคคลหรือประเทศใดประเทศหนึ่งโดยปราศจาก “ความชอบธรรม” (Legitimacy) นั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงระบอบระดับโลก แค่ในระดับประเทศยังยากที่จะดำรงเสถียรภาพได้
การล่มสลายของระบอบโลกเสรีนิยม และการหันหลังของสหรัฐฯ ให้กับพันธมิตรจะทำให้กลุ่มประเทศที่สมาทานค่านิยมแบบประชาธิปไตยสากลจะต้องเกาะกลุ่มกันให้ได้ หรือที่บางคนเรียกว่า “Minilateralism”
อย่างน้อยก็รอจนวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ หรือมีใครที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกเสรีคนใหม่แทน
ฝรั่งเศสดูเหมือนว่าสนใจที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว แต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ขยับเข้ามาใกล้บ้านมากขึ้นทุกวัน
ส่วนไทยคงต้องปรับยุทธศาสตร์การต่างประเทศอย่างเร่งด่วน ต้องยอมรับว่ากระทรวงต่างประเทศไม่สามารถเป็นผู้เล่นเดียวในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ได้อีกต่อไป คงต้องระดมคนเก่งเข้ามาร่วมกันวางแผน
ก่อนที่เราจะถูกกลืนหายไปในหน้าของประวัติศาสตร์