เสฏฐวุฒิ อุดาการ
การเรียนรัฐศาสตร์มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง (ไม่นับการสอนให้เราแถอย่างมีหลักการ) คือ สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านตำรา การฟังเลคเชอร์ หรือการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตัวเอง รายละเอียดส่วนใหญ่มักจะลืมเลือนไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่เราประทับใจหรือรู้สึกติดค้างอยู่ในใจ มันจะซึมลึกเข้าไปในความทรงจำของเราโดยไม่รู้ตัว
เรียกได้ว่าเวลาคิดหรือเขียน สิ่งเหล่านี้มันจะออกมาเอง เหมือนเป็นกรอบวิธีคิดในการมองเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ จะเรียกว่าเป็นการครอบงำความคิดก็ไม่เชิง มันเหมือนเป็นเครื่องมือที่สมองใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนที่จะออกมาเป็น Output ที่เอาไปใช้ทำสิ่งต่าง ๆ นานาได้
หนึ่งในแนวคิดที่ติดอยู่ในหัวเสมอมา ก็คือ แนวคิดอำนาจที่ยึดโยงกับคุณลักษณะของผู้นำ
สำนัก Realism ในทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มักจะหนีไม่พ้นความคิดทางการเมืองของผู้นำ สิ่งใดที่หล่อหลอมให้เขามีความคิด อคติ และรสนิยมแบบนั้น ซึ่งจะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
หากผู้นำมีวิสัยทัศน์ (Visionary Leader) ย่อมนำพาประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองได้ไม่ยาก เพราะผู้นำที่มีลักษณะนี้จะพยายามหาทางที่จะผลักดันนโยบายให้สำเร็จ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม โดยทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ และเพิ่มพูนเกียรติภูมิในเวทีระหว่างประเทศ
หลายคนอาจบอกว่า Visionary Leader นั้นหายาก นาน ๆ ทีมีครั้ง แต่ผมกลับเห็นแย้ง
ผมว่า Visionary Leader นั้นก็เหมือน Rare Earth ชื่อมันฟังดูหายาก แต่จริง ๆ แล้วก็มีอยู่ทั่วไป
ส่วนที่ยากคือกระบวนการทำ Rare Earth ให้กลายเป็นแร่ที่มีคุณภาพสูงต่างหาก
ปัญหาคือวัฒนธรรมองค์กรของหลายที่ นอกจากจะไม่สามารถแปรสภาพ Rare Earth ให้กลายเป็น Visionary Leader แล้ว ยังซ้ำเติมให้บุคคลที่มีศักยภาพ (potential) กลายร่างเป็น Zombie
สิ่งนี้ต้องเปลี่ยน เพราะไม่ใช่ว่าเราขาดศักยภาพ แต่เป็นเพราะว่าถูกกดทับหรือควบคุมไว้ ทำให้นาน ๆ ครั้งเราจะได้เห็นคนที่สามารถแสดงวิสัยทัศน์ได้อย่างเฉียบคม เท่านั้นยังไม่พอ ยังสามารถขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้จริง ๆ อีกด้วย
เพราะฉะนั้น การเปิดโอกาสให้แต่ละองค์กรมีการสร้าง New Generations ที่จะกลายมาเป็น Visionary Leaders ของตนเองจึงมีความสำคัญ และกระบวนการนี้ต้องใช้เวลา คนไม่ใช่ AI ต้องใช้เวลาแกะสลักและขัดเกลา
เมื่อถึงเวลา หากองค์กรมี Visionary Leaders ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคนไว้นำองค์กร
ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤติของความเปลี่ยนแปลงไปได้
ราวกับมีสิ่งที่เรียกว่า Immunity to Change นั่นเอง