เสฏฐวุฒิ อุดาการ
เลขสามสิบมีความหมายแตกต่างกันไปตามนิยามของแต่ละคน บางคนมองเป็นเส้นตายที่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรจริงจังสักอย่าง บางคนมองเป็นวัยที่ต้องเริ่มสร้างครอบครัว บ้างก็มองเป็นโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัว หรือบางคนก็มองว่านี่คือ Point of No Return สำหรับการตัดสินใจในชีวิตครั้งสำคัญ
สำหรับผมที่กำลังจะเข้าสู่วัยสามสิบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มองมันเป็นหมุดหมายหนึ่งในชีวิต ไม่ต่างจากจุดพักรถบนถนนที่ยังไม่รู้จุดสิ้นสุด เพื่อที่เราจะได้นั่งพักจิบกาแฟแล้วทบทวนสิ่งที่เข้ามาและผ่านพ้นไปในชีวิต รวมถึงบันทึกบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากอุปสรรคและความสำเร็จใจห้วงที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นข้อคิดในการเดินทางต่อไปในพรมแดนที่ชีวิตเรายังไม่ค้นพบ (undiscovered country)
ก่อนที่นาฬิกาชีวิตจะเคลื่อนไปที่เลขสามสิบ ผมจึงอยากเขียนอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง และเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ผ่านเข้ามาในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้
1.อยากเก่งต้องขยันให้มากขึ้นเป็นสองเท่า
สมัยเด็ก ๆ เวลาผมฝึกซ้อมกอล์ฟเพื่อเตรียมแข่งขัน จะมีคติประจำใจเสมอ คือ ถ้าอยากเก่งเท่าคู่แข่งต้องขยันมากขึ้นเป็นสองเท่า และถ้าอยากเก่งกว่าเขาก็ต้องฝึกซ้อมให้หนักขึ้นอีกหลายเท่า ผมเชื่อเสมอว่าความสำเร็จไม่มีทางลัด และสิ่งที่ประสบพบมาก็ตอกย้ำว่าความพยายามหมั่นเพียรฝึกกรำตนเอง และความอดทนอดกลั้นเท่านั้นที่จะพาเราไปสู่จุดหมายได้ แต่แน่นอนสุขภาพก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จิตใจที่แน่วแน่วมั่นคงย่อมมาจากร่างกายที่แข็งแรง ความขยันที่ว่านี้ไม่ใช่การเอาชนะหรือเพื่อวางตัวอยู่เหนือใคร แต่เป็นการเอาชนะเป้าหมายในใจตัวเอง และหากเราทำได้ ความสุขก็เกิดขึ้นแต่ภายในใจของเราเอง
2.ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ผิด
ในชีวิตของผม ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้เผื่อใจไว้สำหรับความล้มเหลวบ้าง เพราะความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา การเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากความล้มเหลวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมาผมมักจะใช้ความล้มเหลวเป็นแรงผลักดันตนเองเสมอ รวมถึงใช้ประเมินความเหมาะสมของตนเองว่าเหตุที่ล้มเหลวนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร เราพยายามไม่พอ หรือสิ่งนั้นไม่เหมาะกับเรากันแน่ ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าอาย ผู้ที่ยอมรับและหัวเราะใส่ความล้มเหลวได้ย่อมเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง และผู้ที่จะอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาก็คือผู้ที่มีจิตใจที่นิ่งสงบ และหวั่นไหวต่อคำครหาต่าง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากความล้มเหลวเหล่านั้น เหมือนที่ Master Yoda กล่าวว่า “The greatest teacher, failure is”
3.เราถูกแทนที่ได้เสมอ
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ตำแหน่งที่ได้มาวันหนึ่งก็ต้องยกให้คนอื่น งานที่เราทำวันหนึ่งก็จะมีคนมาทำแทนที่ได้เสมอ การคิดเช่นนี้จะช่วยไม่ให้เรายึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงช่วยกระตุ้นเตือนให้ถ่ายทอดประสบการณ์และความชำนาญต่าง ๆ ให้กับคนรุ่นต่อไปที่จะมาแทนที่ เพราะอย่าลืมว่าเราทุกคนต่างเป็นคนแคระบนบ่ายักษ์อยู่แล้ว องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ครอบครองในปัจจุบันก็เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน เหมือนที่บางคนกล่าวว่า Originality ไม่มีจริง เพราะสิ่งต่าง ๆ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยองค์ความรู้ แรงบันดาลใจที่ถูกส่งผ่านมาจากอดีตทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่เป็นต้นฉบับ 100% เพราะฉะนั้น ตัวเราเอง ตำแหน่งของเรา และงานที่เราทำ อย่าคิดว่าไม่มีใครทำมันได้ เราอาจถูกแทนที่ได้เสมอ สิ่งสำคัญคือการใช้เวลาของเราให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อถึงเวลาก็จะได้ส่งไม้ต่อกันได้อย่างราบรื่น ไม่มีอะไรให้ติดค้าง
4.อย่าพูดเมื่อไม่มีสิ่งดี ๆ จะพูดถึงคนอื่น
ผมรู้ตัวว่าเป็นคนเงียบ พูดน้อย สาเหตุหนึ่งมาจากลักษณะนิสัยของความเป็น Introvert อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะผมถือคติว่าถ้าเราไม่มีสิ่งดี ๆ จะพูดเกี่ยวกับคู่สนทนาหรือคนอื่น การไม่พูดหรือนิ่งเงียบก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน ผมเชื่อเสมอว่าทุกคนมีข้อดีในตัวเอง และผมชอบที่จะพูดถึงข้อดีเหล่านั้นมากกว่าข้อเสียของคนอื่นซึ่งทุกคนก็มีเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับตัวผมที่มีข้อเสียอยู่หลายข้อเลยทีเดียว แต่การเลือกที่จะพูดถึงคนอื่นแต่ในด้านดีของเขานอกจากจะทำให้ตัวเราเองรู้สึกสบายใจแล้ว ยังช่วยย้ำเตือนว่าทุกคนไม่ว่าจะมีพฤติกรรมอย่างไร รวมถึงคนที่เราไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้เท่าไหร่ ล้วนแล้วแต่มีข้อดีในตัวเองทั้งสิ้น การเลือกที่จะมองเขาในมุมที่เราคิดว่าเป็นด้านดีของเขาก็จะช่วยให้ Introvert อย่างผมสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างสบายใจและไม่กดดันตัวเองมากเกินไป
5.Work Hard, Win Heart ชนะใจคนด้วยการทำงานหนัก
ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนเก่งอะไร อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็ไม่สามารถสู้ใครได้ แต่สิ่งที่ผมมีคือความขยันและความอดทน สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมใช้ในการชนะใจคนอื่นเสมอมา ผมเชื่อว่าหากเรามุ่งมั่นทำผลงานให้ดี ผลงานจะช่วยพูดแทนเราโดยที่เราไม่จำเป็นต้องโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ตนเองมากเกินไป ผมเชื่อว่าการทำงานหนัก การรับงานที่ไม่มีใครอยากทำ หรือการรับงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญในการชนะใจคน โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีความสามารถหรือทักษะอะไรมากเท่าคนอื่น แต่การมุ่งมั่นทำงานหนัก ในท้ายที่สุดจะช่วยชนะใจพวกเขาและนำมาซึ่งความไว้วางใจในท้ายที่สุด
6.จงถ่อมตัว Be Humble
ผมได้รับการปลูกสร้างนิสัยถ่อมตัวตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้นก็มีโอกาสได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือหลายท่านจนสามารถสรุปได้ว่าความถ่อมตัวเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้รับความเอ็นดูจากคนอื่น การถ่อมตัวเป็นนิสัยที่ทำได้ง่ายมาก ไม่มีราคาต้องจ่าย ยิ่งเก่งมาก ยิ่งต้องถ่อมตัวมาก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ ลึกๆ แล้วไม่มีใครอยากรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ดังนั้น การถ่อมตัวจึงเป็นวิชาคนที่คนไม่เก่งคนอย่างผมยึดถือเป็นเกราะป้องกันตัวเองเสมอมา เพราะคนถ่อมตน ไม่มีอะไรจะทำให้เสียหายได้เลย ในทางกลับกัน หากคนอื่นรู้ถึงความสามารถของเราโดยที่เราไม่ต้องป่าวประกาศ อาจจะยิ่งทำให้พวกเขาสนใจในตัวเรามากขึ้นอีกด้วย
7.หาอย่างอื่นทำนอกจากงานประจำ
สิ่งที่ผมทำมาตลอดตั้งแต่เด็กคือการหากิจกรรมอย่างอื่นทำนอกเหนือจากงานหลักในชีวิต ตอนเรียนหนังสือ ผมก็มีกอล์ฟและการเขียนหนังสือเป็นงานอดิเรกที่ทำให้เราสามารถใช้เวลาไปกับมันได้ในวันที่ไม่ต้องเรียนหนังสือ ในทางหนึ่งมันเป็นการพาตัวเองออกไปจากงานหลักที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับมัน และในอีกทางหนึ่งมันก็เป็นช่องทางฝึกฝนทักษะที่สามารถสร้างรายได้อีกด้วย เช่นเดียวกับปัจจุบันที่ผมทำงานประจำ ก็ยังมีงานอีกสองสามอย่างที่ทำควบคู่กันไป โดยเน้นเฉพาะช่วงหลังเลิกงานหรือวันหยุดเพื่อไม่กระทบต่องานหลัก ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผมไม่อยากทำให้งานหลักกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กลัวว่าเมื่อถึงวันเกษียณต้องอยู่บ้านพร้อมกับเวลาที่มากขึ้นโดยที่ไม่รู้จะทำอะไร หรือเมื่อไม่ประสบความสำเร็จกับงานประจำ ก็ยังพอมีงานอื่น ๆ ที่สามารถรองรับใจที่บอบช้ำได้ การสร้างทางเลือกให้ตัวเองก็เปรียบได้กับการเตรียมแผนสำรองไว้ หากมีกรณีที่จำเป็นต้องใช้ก็ดีกว่าการที่มีไม่มีทางเลือกอะไรเลย
8.เลือกคบคน
ผมไม่ใช่คนที่มีเพื่อนเยอะตั้งแต่เด็ก แต่ผมเลือกที่จะลงทุนในความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าเสมอ อาจเป็นพรสวรรค์หรือคำสาปก็ได้ที่ผมเชื่อว่าตนเองมีความสามารถในการอ่านคน รู้เจตนาในการเข้ามามีความสัมพันธ์ดี เพราะฉะนั้น เมื่อเราเติบโตขึ้น เราจะรู้จักคนมากขึ้น มีเครือข่ายใหญ่ขึ้น แต่คนที่เป็นเพื่อนเราอย่างแท้จริงจะน้อยลง มันเป็นเช่นนั้นเสมอ เหตุนี้ผมจึงเลือกที่จะคบคนที่เราสามารถดำรงความสัมพันธ์ในระยะยาวได้ ไม่ใช่คนที่เข้ามาเพราะผลประโยชน์ ไม่ใช่คนที่เข้ามาเพราะมีเจตนาแอบแฝง และที่สำคัญคือเลือกที่จะวางตัวเองอยู่ห่างจากคนที่เราอยู่ใกล้แล้วรู้สึกได้ถึงพลังลบตลอดเวลา หากเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเขาได้ การเลือกที่จะวางตัวให้ห่างออกไปก็เป็นทางเลือกที่น่าจะดีที่สุดโดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์
9.ดูแลสุขภาพตนเอง
ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งต้องเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น เมื่ออายุย่างสามสิบ สิ่งที่รู้สึกได้ทันทีคือเราเริ่มที่จะทำงานหนัก ๆ หามรุ่งหามค่ำแบบตอนอายุยี่สิบต้น ๆ ไม่ไหวแล้ว และการพักผ่อนน้อยดูจะส่งผลกระทบต่อร่างกายมากขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น ผมจึงตั้งใจว่าอีกสิบปีต่อจากนี้ ผมจะสร้าง pattern การใช้ชีวิตใหม่ให้เหมาะสมกับอายุที่มาก เช่น การเข้านอนก่อนเที่ยงคืน การตื่นมาวิ่งวันละอย่างน้อย 30 นาที ตอนเช้า และการซ้อมกอล์ฟสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และที่สำคัญคือการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก และลดเนื้อสัตว์ลง โดยตั้งเป้าหมายว่าในอีก 30 ปี เมื่ออายุครบ 60 ปี จะสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างไม่เป็นภาระใคร และแน่นอนยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวและเล่นกอล์ฟได้อย่างไม่กระทบต่อสุขภาพมากนัก
10.ครอบครัวสำคัญที่สุด
ผมได้เห็นสัจธรรมของชีวิตตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่เคยเดินเหินสะดวก ร่างกายแข็งแรง วิดพื้นได้ 100 ครั้ง มีตำแหน่งใหญ่โต มีคนรับใช้ มีเพื่อนรายล้อม แต่เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน สิ่งเหล่านี้ก็หายไป เพื่อนค่อย ๆ หายไปทีละคน ไม่มีอำนาจก็ไม่มีใครสนใจ ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็ผอมแห้งซีดเซียว เป็นไปตามพุทธธรรมทุกประการ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือครอบครัว คนที่อยู่ข้างกายในวันแรกและวันสุดท้ายไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหนของชีวิตก็ตาม สำหรับผมไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัว เพราะที่ผ่านมาในวันที่ไม่เหลืออะไร หมดกำลังใจและไฟฝัน ก็ยังมีครอบครัวให้กลับไปหา เพราะคนเราไม่ว่าจะสวมหมวกใบไหน ยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อกลับบ้านก็ต้องถอดหมวกเหล่านั้น และนั่งลงกินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัวเสมอ
……………………………….