เสฏฐวุฒิ อุดาการ
นานมาแล้วในดวงใจของใครคนหนึ่ง…
Futari หรือชื่อภาษาอังกฤษ Chizuko’s Little Sister เป็นหนังญี่ปุ่นที่กำกับโดย Nobuhiko Obayashi ออกฉายในปี 1991
หนังใช้ฉากของญี่ปุ่นต้นทศวรรษ 1990s ดำเนินเนื้อเรื่องส่วนใหญ่บนเกาะ Mukaishima Island, Hiroshima
หนึ่งในเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ที่ทำให้เราหลงรัก ก็คงหนีไม่พ้นความงดงามของเกาะแห่งนี้นี่แหละ
Futari แปลว่า ‘สองคน’ หรือ ‘Two of Us’ ตามเพลงประกอบ Main Theme ที่ประพันธ์โดย Joe Hisaishi ตำนาน Composer คู่ใจของ Hayao Miyazaki ที่สาวกสตูดิโอจิบลิย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เราชอบชื่อภาษาญี่ปุ่นมากกว่า เพราะสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักในเรื่องได้อย่างตรงตัว และมีนัยยะทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นแฝงไว้อีกด้วย
Futari บอกเล่าเรื่องราวของ Mika เด็กสาวจอมซุ่มซ่ามที่สูญเสียพี่สาวที่ใกล้ชิดกันมากด้วยอุบัติเหตุ ก่อนที่วิญญาณของพี่สาวจะหวนกลับมาช่วยเหลือเธออีกครั้งในยามคับขัน และช่วยประคับประคองให้น้องสาวอันเป็นที่รักเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์และรู้จักตัวเอง
หนังเรื่องนี้จึงอาจทำให้ใครที่มีพี่สาวหรือน้องสาวที่ใกล้ชิดกันมาก ๆ เสียน้ำตาได้ง่าย ๆ เพราะขนาดเราที่อายุห่างจากพี่ชายอยู่หลายปีก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใหญ่ที่ Chizuko มีต่อน้องสาว แม้ว่าร่างกายจะสูญสลายไปแล้วก็ตาม
เรื่องราวของ Futari ไม่ได้พูดถึงการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ของตัวละครหรือการต่อสู้ของฮีโร่พิชิตความชั่วร้าย
แต่เป็นเรื่องราวของการก้าวข้ามผ่านช่วงวัยของเด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องพานพบกับความสูญเสีย ปัญหาความแตกแยกภายในครอบครัว
โดยมีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในยุคที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ความคาดหวังและความใฝ่ฝันที่คนญี่ปุ่นได้สร้างวิมานในอากาศไว้ในยุค 80s เริ่มพังทลาย
หลายครอบครัวต้องประสบปัญหาล้มละลาย ไม่มีที่อยู่ และนำไปสู่การคิดสั้นในท้ายที่สุด เพราะมีทัศนคติที่จมไม่ลง ยึดติดกับเกียรติและความทระนงตนมากเกินไป
สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ Mika ต้องรับมือขณะที่เติบโตขึ้นตามลำพัง เพราะแม่ที่จะทำใจกับการสูญเสียลูกสาวคนโตไปไม่ได้ก็ยังพึ่งพิงไม่ได้ ส่วนพ่อก็ต้องเดินทางไปทำงานที่ฮอกไกโดจนนำไปสู่ปัญหาชู้สาวอีก
Mika จึงมีเพียงแค่วิญญาณของพี่สาวและความทรงจำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งคู่เท่านั้นที่หล่อเลี้ยงให้เธอเติบโตขึ้นได้โดยไม่มีชะตากรรมเหมือนเพื่อนร่วมชั้นที่เคยมีทุกสิ่งจนกลายเป็นเด็กบ้านแตกที่ถูกพ่อทิ้ง แม่ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง และทิ้งเธอไว้กับญาติ
Futari จึงเป็นหนัง Coming-of-age ที่ฉายให้รอเห็นภาพของเด็กสาว ๆ ที่ทำอะไรไม่เป็น เอาแต่พึ่งพิงพี่สาว และขาดความมั่นใจในตนเอง เพราะตั้งแต่เด็กยันโต เธอมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่สาวเสมอ จนไม่ว่าใคร ๆ ก็รู้จัก Mika ในฐานะน้องสาวของ Chizuko (Chizuko’s Little Sister)
กระทั่งวันหนึ่งที่พี่สาวต้องจากไปโดยไม่ทันตั้งตัว เธอจึงต้องต่อสู้รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ประดาเข้ามาในชีวิตอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เอารอดจากผู้ใหญ่โรคจิตที่ชอบหากินกับเด็กสาว
การรับมือกับความกลัวและขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จนกระทั่งสามารถเล่นเปียโนแสดงสดได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ตลอดจนกลายเป็นเสาหลักของบ้านในวันที่แม่ล้มป่วยและพ่อก็ต้องทำงานอยู่ต่างจังหวัด
หนังฉายให้เราเห็นพัฒนาการของ Mika จากเด็กสาวขี้อายช่างฝันที่คอยหลบอยู่ด้านล่างพี่สาว
กลายมาเป็นสาวสวยที่รู้จักตนเองและกล้าที่จะแสดงออกซึ่งความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา
ชูมือขึ้นกลางอากาศแล้วทักทายสายลม
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราดู Futari ด้วยความรื่นรมย์คงหนีไม่พ้นดนตรีประกอบของ Joe Hisaishi และการแสดงที่น่ารักน่าเอ็นดูของ Hikari Ishida
Ishida รับบท Mika ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการถ่ายทอดภาพเด็กสาวกะโปโลที่ขาดความมั่นใจของตนเอง ก่อนที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นวัยรุ่นที่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง และก้าวข้ามความบอบช้ำในอดีตได้ในท้ายที่สุด
ต้องบอกว่าตัว Ishida เองอาจจะไม่จัดว่าสวยตามเทรนด์เกาหลีในยุคนี้ แต่เราบอกได้คำเดียวเลยว่าเห็นหน้าเธอครั้งแรกก็ตราตรึงใจแล้ว
เป็นความงามของนักแสดงสาวญี่ปุ่นในยุค 80s – 90s ที่นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาพิเศษจริง ๆ สำหรับ Pop Culture
ในส่วนของดนตรีประกอบ เราเคยฟังเพลง ‘Two of Us’ ของ Joe Hisaishi ในอัลบั้ม Work I อันเป็นงานชุดแรก ๆ ของ Maestro ผู้นี้เลยทีเดียว
กระทั่งอีก 10 ปีต่อมา จึงมีโอกาสได้ฟังเพลงนี้ใน Trailer ของ Futari ที่สนใจอยากดู เพราะเห็น Footage ของหนังเรื่องนี้จากคลิปเพลงของ Yotsu ใน YouTube
ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีโอกาสได้ดูตัวหนังจริง ๆ เสียที เพราะหนังค่อนข้างเก่า หนึ่งปีก่อนเราเกิดเสียอีก กระทั่งเพิ่งได้ชม Futari ในช่วงวันอยู่บ้านช่วยชาติสู้ COVID-19 ก็พบว่าดนตรีประกอบของ Joe Hisaishi คือหัวใจของหนังเรื่องนี้เลยจริง ๆ
นอกเหนือจากความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง หรือ ‘สองเราพี่น้อง’ แล้ว สิ่งที่ทำให้เราหลงรักหนังเรื่องนี้คือการเก็บบันทึกภาพญี่ปุ่นในยุค 90s ไว้ได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าจะมีความ Cheesy แบบหนังญี่ปุ่นยุคนั้น แต่นี่ก็คือมนต์เสน่ห์ที่คลาสสิคอย่างยิ่ง
เปรียบเสมือนภาพถ่ายกล้องฟิลม์ Fuji เก่า ๆ ที่เราพบโดยบังเอิญหลังจากเวลาล่วงเลยไปแล้ว แต่กลับรู้สึกได้ถึงความทรงจำบางอย่างที่ไม่มีอยู่จริง
เป็นอารมณ์โหยหาอดีต (Nostalgia) ที่พาเรากลับไปสู่ช่วงเวลาอันเปี่ยมไปด้วยสีสันของญี่ปุ่นยุค 80s – 90s ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อย ๆ พังทลายลง และล่มสลายไปด้วยเทคโนโลยีหลังยุค 2000s ซึ่งเปิดฉากด้วยสงครามต่อต้านการก่อการร้าย วิกฤติเศรษฐกิจ และโรคระบาด
Futari เป็นหนังที่ชี้ให้เราเห็นว่าชีวิตของคนเราทุกคนล้วนมีสงครามที่เกิดขึ้นภายใจ
ไม่มีใครที่ไม่มีบาดแผล ไม่มีใครที่ไม่เจ็บช้ำ ทุกคนมีอุปสรรคของตนเองให้ต้องก้าวผ่านทั้งนั้น แต่อาจจะไม่ได้เผยออกมา
และสารที่ได้จากการชมหนังเรื่องนี้คือ เวลาจะเยียวยาทุกอย่างเสมอ เช่นเดียวกับการมีกันและกันระหว่างครอบครัวและมิตรสหาย
รวมทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุด และน่าจะเป็นสารที่ผู้กำกับต้องการส่งไปถึงวัยรุ่นญี่ปุ่นทุกคนในยุคนั้น คือ การอย่านำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ทุกคนมีเรื่องราวของตนเองให้ต้องบอกเล่า ชีวิตคือหนังสือทีเราเขียนเอง ผู้คนและสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นเพียงแค่บทหนึ่งเท่านั้น
ยังมีอีกหลายบทที่เราต้องเขียนต่อไป ฉะนั้น จงค้นหาตนเองให้เจอและเป็นตัวของตัวเอง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดไป
เว้นแต่ตัวเรากับเสียงข้างในจิตใจ
ที่เป็น Two of Us อย่างแท้จริง
เนื้อเพลง Two of Us (Futari) ของ Joe Hisaishi ที่ Warren Wiebe นำไปขับร้องภาษาอังกฤษ เราชอบมาก
There was a time when you once said to me
Here in my heart there is something that I believe
Please tell someone someday that I must leave
That seem so long ago
I raise my hands and weaving to the wind
There in the mist I see your face and then I hear your voice
And then it’s once again it’s game of hide and seek.
I hear your footsteps and then I turn to see
I want so bad to have you here with me
I turn around to find that you’re not there……