เสฏฐวุฒิ อุดาการ
หากลิสต์หนังในดวงใจมา 10 เรื่อง เกินครึ่งต้องมีหนังของ Shunji Iwai
Last Letter ก็เพิ่งกลายเป็นหนึ่งในนั้น
หนังของ Shunji Iwai ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เพราะมีสไตล์การเล่าเรื่องที่ต่างไปจากหนังญี่ปุ่นกระแสหลัก แต่เพราะความเป็นแบบฉบับเฉพาะตัว หรือที่เรียกว่ามีลายเซ็นของตนเองนี่เองที่ทำให้เราหลงรักหนังของผู้กำกับผู้นี้ นับตั้งแต่ Love Letter (1995) มาจนถึง Last Letter (2020) กล่าวได้ว่า Shunji Iwai เป็นผู้กำกับที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและงานเขียนของเรามากที่สุด และจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตของเราก็ซ้อนทับทางเดินของตัวละครในหนังของเขาโดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
Last Letter เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ Shunji Iwai พาเราเข้าไปสำรวจธีมเกี่ยวกับความตายที่ปรากฏอยู่ในหนังทุกเรื่องของเขา หนังมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ Misaki ผู้ล่วงลับที่ทำให้น้องสาว ลูกสาว หลาน และอดีตคนรักของเธอได้หวนกลับมาสานสัมพันธ์กันอีกครั้งผ่านหยดหมึกและกระดาษขาว
จดหมาย…สื่อแห่งความรัก ความคิดถึงสุดคลาสสิคที่ยังตราตรึงใจใครหลายคน จึงกลับมามีบทบาทในการพา Otosaka เดินทางกลับไปหารักแรกและรักเดียวของเขาอีกครั้ง เพียงเพื่อค้นพบความจริงอันแสนปวดร้าว และความงดงามของชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ
หนังเปิดเรื่องด้วยดนตรีประกอบที่คุมโทนสุขปนเศร้า (อารมณ์แบบ Love Letter) ทำให้เราเสียน้ำตาได้ตั้งแต่ฉากแรก แล้วค่อย ๆ ซึมไหลอาบแก้มเงียบ ๆ เมื่อเรื่องราวดำเนินไปจนจบด้วยฉากจดหมายฉบับสุดท้าย เมื่อกลับมาค้นใน Spotify ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดนตรีประกอบถึงทำให้น้ำตาไหลพรากแบบนี้ เพราะ Last Letter เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ Shunji Iwai กับ Takeshi Kobayashi Composer ผู้อยู่เบื้องหลังดนตรีอันเป็นตำนานของ All About Lily Chou Chou นั่นเอง
หลังการจากไปของ Misaki หนังค่อย ๆ เผยเรื่องราวให้เราปะติดปะต่อได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวผู้เป็นประธานรุ่นและเป็นที่คาดการณ์ของหลายคนว่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ ผ่านคำบอกเล่าของน้องสาว อดีตสามี และลูกสาวซึ่งนำแสดงโดย Suzu Hirose (เด็กสาวจาก Our Little Sister ที่ยิ่งโตยิ่งสวย) ซึ่งรับบทบาทเป็นแม่ในวัยเด็กด้วย และในท้ายที่สุดก็นำไปสู่บทสรุปของปรัชญาความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือ ความรักคือการตอบความรักในตัวเอง ความรักไม่มุ่งหวังครอบครองหรือเป็นเจ้าของสิ่งใด
ชีวิตที่ป่นปี้ถูกทำลายของ Misaki นำไปสู่ What If มากมายที่ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเธออาจคิดขึ้นในใจ แต่นั่นก็คือความเป็นชีวิตที่เราทุกคนต้องเผชิญมิใช่หรือ?
คำสุนทรพจน์ที่ Misaki กล่าวในวันจบการศึกษาชี้ชัดถึงความจริงของชีวิตข้อนี้อย่างชัดเจน เราทุกคนล้วนต้องพานพบกับความไม่แน่นอนของชีวิต บางคนอาจสมหวังดั่งใจฝัน แต่บางคนกลับพบว่าชีวิตยากยิ่งกว่านั้น บางคนอาจพบกับการจากพราก บางคนอาจพบกับชีวิตที่ไม่สมบูรณ์อย่างที่คิดไว้ และบางครั้งบางสิ่งก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีคำอธิบาย
Last Letter ไม่ใช่หนัง Coming of Age ที่สำรวจการข้ามพ้นช่วงวัยของตัวละครเหมือนหนังหลายเรื่องของ Shunji Iwai แต่คราวนี้เขากลับพาเราไปสำรวจการรับมือกับความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดฝันไว้เสมอไป มันอาจมีช่วงเวลารวดร้าว สุขสันต์ และงดงามน่าจดจำคละเคล้ากันไป แต่สิ่งหนึ่งที่จะอยู่คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ ความทรงจำที่จะอยู่กับเราตลอดไป
ความทรงจำถึงความรักครั้งแรกที่จะอบอุ่นอยู่ในใจเสมอ
ดั่งนวนิยายเรื่อง Misaki ที่ Otosaka เขียนอุทิศให้กับเด็กสาวที่เขาหลงรักหมดหัวใจ และจดหมายหลากหลายฉบับที่ส่งไปโดยไม่รู้ว่าผู้รับได้อ่านหรือไม่ มันกลับมีคุณค่าอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เปรียบเหมือนแสงสว่างจากหิ่งห้อยตัวจ้อยกลางค่ำคืนที่มืดมน ช่วยต่อเติมความหวังให้ Misaki ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางชีวิตที่โบยตีเธออย่างบอบช้ำจวบจนวาระสุดท้าย
Last Letter จะกลายเป็นหนังในดวงใจที่เราต้องหยิบมาดูซ้ำบ่อยครั้งในอนาคตอย่างแน่นอน หนังของ Shunji Iwai หลายเรื่องเหมือนหนังสือที่ต้องเติบโตไปพร้อมกับมัน อีกทั้งยังเป็นหนังที่ค่อนข้าง Personal มาก ๆ ทั้งจดหมายรักเอย หนังสือเอย ตัวละครของ Otosaka เอย ทำให้พอเห็นภาพตนเองในวัย 40s กว่า ได้ชัดเลย
โดยสรุป Last Letter คือหนังที่เรารักมากเรื่องหนึ่ง
มันจะถูกวางไว้ในระดับเดียวกับ Love Letter (1995) และ All About Lily Chou Chou (2001) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราเขียนเรื่องสั้นออกมามากมาย และกลายเป็นนักเขียนในท้ายที่สุด
โดยเฉพาะคำพูดของตัวละครหลายประโยคที่เพียงแค่ฟังก็น้ำตาซึมแล้ว อย่าง ‘เธอเป็นนักเขียนได้เลยนะ’
เพราะครั้งหนึ่งก็เคยมีคนพูดประโยคนี้กับเราเช่นเดียวกัน
แล้ววันนี้เราก็กลายเป็นนักเขียนเพราะคำพูดนั้น และมีหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มแรกก็เพราะเหตุผลนั้นเช่นกัน
ด้วยรัก วัยเยาว์ และหัวใจสลาย