เสฏฐวุฒิ อุดาการ
เธอคือภาพฝันในจักรวาลของฉัน
สิ่งแรกที่ทำให้ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปนั่งดู ‘สุขสันต์วันโสด’ (Low Season) คือ พล็อตเรื่องที่น่าสนใจ
คนอกหักหนีไปพักใจท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรเป็นอะไรที่ค่อนข้างชาชิน
แต่เผอิญดวงใจที่ปวดร้าวนั้นมีเหตุมาจากสัมผัสพิเศษที่ทำให้นางเอกเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
นี่จึงเป็นประเด็นด้านตัวตนและอัตลักษณ์ที่ถูกกดทับไว้ และเป็นปมที่ถูกขมวดตลอดทั้งเรื่อง
หลินเป็นเด็กสาวที่สามารถมองเห็นผีได้ สัมผัสพิเศษนี่เองที่ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรักมีปัญหา
เมื่อเกิดหลุมดำขึ้นในความสัมพันธ์ ดวงใจจึงออกเดินทางไกลเพื่อเยียวยาบาดแผลที่ถูกความรักโบยตี
ในฐานะคนเชียงใหม่ ขอชื่นชมว่า ‘Low Season’ มีการกำกับภาพที่ดึงความสวยงามของสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เชียงใหม่ปลายขอบฟ้า’ ออกมาได้ดี
แม้ว่าบางจุดของการบังคับโดรนจะรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีปัญหา แต่ไม่อยากถ่ายซ่อม ก็พอให้อภัยได้
อย่างไรก็ตาม หนังก็มีความผิดพลาดบางจุดเกี่ยวกับบางฉาก หรือ Sub-Plot บางอย่างที่ใส่มาให้น่าสนใจ แต่กลับไม่มีอะไร แล้วคลี่คลายง่ายเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างวิทยากับนุ่น หรือพี่โอมกับปมความขัดแย้งในใจที่จู่ ๆ ก็เฉลยแบบงง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีอะไรให้เล่นมากมาย
รวมถึง บทสรุปที่ค่อนข้างเร่งรัดและไม่ค่อยสมเหตุสมผล เหมือนว่าพอตัวละครออกจากป่าเขา แล้วเขาสู่ป่าคอนกรีต การเล่าเรื่องที่ลื่นไหลก็สะดุดลงเสียดื้อ ๆ ก่อนที่จะตัดกลับไปที่ป่าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จนทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งจากไปเอง อ่าว กลับมาอีกแล้ว
กระนั้น Low Season ก็มีหลายส่วนที่น่าชมเชย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้าและออกแบบ ‘ผี’ ที่ทำได้น่ากลัวพอสมควร อาจเป็นเพราะบรรยากาศของป่าเขาที่ส่งเสริมให้ผีมีลูกเล่นในการหลอกมากยิ่งขึ้น
สังเกตได้ว่า ‘ผี’ จะออกมาเฉพาะในเวลาที่หลินอยู่กับแฟน เพื่อนสนิท หรือคนที่เธอรู้สึกดีด้วยอย่าง ‘พุทธ’ อันสะท้อนให้เห็นว่าเธอมีอัตลักษณ์บางอย่างที่ถูกเก็บกดไว้ และมันจะเผยออกมาก็ต่อเมื่อ เธออยู่กับคนที่สนิทใจหรืออยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่านั้น เปรียบได้กับสัมผัสวิเศษที่มักจะเกิดขึ้นในยามที่เรารู้สึกผ่อนคลาย หรือจิตว่าง
ต่างตรงที่พุทธกลับทำให้ ‘ผี’ ของหลินดูเป็นมิตรมากกว่าหรือสามารถหยอกล้อเล่นได้ ในขณะที่แฟนเก่าของเธอ ‘ผี’ กลับมีจังหวะหลอกที่น่ากลัวซึ่งชี้ให้เห็นถึงความหวาดกลัวในเบื้องลึกของเธอเอง
อีกส่วนหนึ่งที่น่าชมเชยคือการแสดงของ ‘พลอย’ พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ที่วันนี้เธอไม่ได้เป็นของน้องสาวของพิมพ์ พิมประภา อีกต่อไป แต่เป็นนักแสดงที่มีฝีมือ ตลอดจนบล็อกเกอร์ที่จับตามอง เสียอย่างเดียวคือการพยายามแต่ง ‘พลอย’ ให้ดูคล้ายลิซ่ามากเกินไป ทั้ง ๆ ที่พลอยที่เป็นตัวของเธอเองก็มีความน่ารักแบบธรรมชาติอยู่แล้ว
โดยสรุปส่วนที่ดีที่ในเรื่องคืออารมณ์ขันและเพลงของเขียนไขและวาณิชที่ต้องบอกตรง ๆ ว่าส่วนใหญ่จะเข้ากับทุกฉาก แต่ก็มีบางฉากที่เหมือนกับเขียนขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบเพลง มากกว่าการใช้เพลงมาประกอบฉาก ก็ไม่ว่ากัน เพราะเราเองก็ชอบเพลงของเขียนไขฯ และยินดีที่ได้มีโอกาสเข้าถึงผู้ฟังกลุ่มกว้างมากยิ่งขึ้น
โดยสรุป Low Season เป็นหนังที่ดูได้แบบเพลิน ๆ แม้ว่าบทจะมีการเขียนซ้ำในบางจุดค่อนข้างมาก ลองนับคำว่า ‘ขี้’ ในบทหนังดูสิครับ เยอะมาก หรือผู้เขียนบทต้องการสื่อว่ามันคือสิ่งที่ตัวละครไปสามารถสลัดออกไปจากตัวได้
เหมือนในช่วงแรกที่หลินลื่นสะดุดล้มคลุกคลายอยู่บ่อยครั้ง เหมือนเธอยังไม่สามารถลุกขึ้นจากอาการถูกเทหรือ ‘พัง’ จากความรักได้ กระทั่งได้พุทธเข้ามาช่วยบอกให้เธอยอมรับในตัวตน อัตลักษณ์ และสัมผัสวิเศษของเธอ เมื่อนั้นเองที่ความมั่นใจของหลินจึงกลับมาอีกครั้ง
และสามารถก้าวต่อไปได้ในท้ายที่สุด
หวังว่าเราเองจะทำได้แบบนั้นเช่นเดียวกัน
ขอทิ้งท้ายด้วยบทกวีที่เคยเขียนไว้ ‘ไม่มีความเหงาในป่าเขาลำเนาไพร’
ในป่า ไม่มีที่ให้ใครเหงา
วางกระเป๋าสูดกลิ่นดินหมาดฝน
เปาะแปะร่วงโปรยไพรแสนชื่นใจ
ยลหมู่นกสยายปีกร่อนเวหา
หยอกล้อสายลมคลุ้งกลิ่นกระอายฝน
นั่น กระรอกน้อยตัวจ้อย
เล่นกายกรรมห้อยกิ่งเขียว
อีกประเดี๋ยวคงกระโจนโผนถลา
จากกิ่งสู่กิ่ง ไม่ต้องปีนป่ายสายไฟอันตราย
ไม่มีภัยมาทำให้หวั่นกลัว
ไม่ต้องกลัวใครมาทำให้หวั่นใจ
ไม่มีความเหงาในป่าเขาลำเนาไพร
มีแต่ใจที่ชอกช้ำรอเยียวยา