เสฏฐวุฒิ อุดาการ เขียน
ลมทะเล,
ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล กระไอฝนในเมืองไม่หอมสดชื่นเหมือนที่บ้าน ฉันย่ำไปบนบาทวิถีที่ผุพังและแตกละเอียด แม้จะย้ายตัวมาอยู่ในมหานครจวนสิบปี แต่ใจไม่เคยคุ้นชินกับบรรยากาศของเมืองใหญ่ จะมีก็แต่ร้านหนังสือและคาเฟ่ดีๆ เท่านั้นกระมังที่รั้งฉันไว้จากการเดินทางกลับบ้าน
ฉันฝากรถไว้กับยามที่ไม่เห็นหน้าที่บิ๊กซีสะพานควาย แล้วตั้งใจเดินลัดเลาะผ่านร้านรวงเก่าแก่ที่ค่อยๆ
แปรสภาพกลายเป็นสำนักงานขายคอนโดบ้าง ร้านแลกเงินตราบ้าง แต่เป้าหมายปลายทางของฉันอยู่ที่ซอยประดิพัทธ์ 23 ซึ่งเป็นซอยที่ฉันเคยหลงเดินเข้าไปเพื่อหาอพาร์มเมนต์เช่าเมื่อหลายปีก่อน ทว่าคราวนี้ฉันมาด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างออกไป หวังว่าจะเดินถึงก่อนจะต้องเปียกปอนเป็นหมีตกน้ำนะ
เลี้ยวที่ป้ายซอยประดิพัทธ์ 23 เดินผ่านวินมอเตอร์ไซค์ ตลาดสด เข้าไปจนถึงทางแยกพลางนึกสงสัยว่าอาจพาตัวเองเข้ามาหลงอีกแล้วตามสไตล์คลาสสิคแป๊บ แต่ยังดีที่เมื่อพ้นทางแยก จุดหมายปลายทางก็ปรากฏแก่สายตา
Slowhands Café เป็นร้านเล็กๆ ที่ใช้สีขาวเป็นสื่อของความบริสุทธิ์และสดใหม่เหมือนครัวซองค์ที่กรุ่นหอมออกมาจากเตาอบ ลักษณะคล้ายกล่องเล็กๆ ที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีเครื่องประดับประดามากเกินความจำเป็น ไม่จำเป็นต้องมีปลั๊กเสียบชาร์ตแบตมือถือ ไม่จำเป็นต้องมีไวไฟ ไม่จำเป็นต้องมีห้องน้ำ นี่คือร้านกาแฟในแบบที่ฉันอยากยกไปตั้งไว้ภายในบ้านจริงๆ เป็นพื้นที่เล็กที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ และที่สำคัญมีหนังสือให้ฉันอ่านในยามที่ฝนโปรยปราย
ฉันสั่งคาปูชิโน่เย็นกับเจ้าของร้าน/บาริสต้าสาวสวยซึ่งขานรับอย่างมีชีวิตชีวา ฉันหลงรักร้านกาแฟที่เจ้าของร้านทำหน้าที่บาริสต้ามาตั้งแต่เริ่มหัดดื่มกาแฟตอนเด็กๆ ฉันสัมผัสได้ถึงความใส่ใจ พิถีพิถัน และความอ่อนโยนที่เจ้าของร้านใส่ลงไปในกาแฟแก้วหนึ่ง ทำให้มันมีคุณค่าเกินกว่ามูลค่าที่เป็นตัวเงินไปมากมาย เนื่องจาก Slowhands Café เป็นร้านขนาดเล็กที่เหมาะแก่การ Grab and Go มากกว่าการใช้เป็นสถานที่นั่งทำงานหรือติวหนังสือ ซึ่งฉันก็ชอบแนวทางแบบนี้ และเข้าใจเจ้าของร้านที่ไม่ต้องการเสียทรัพยากรมากเกินไปกับค่าไฟฟ้าหรือการดูแลที่มากเกินไป เพราะจากการสังเกต เจ้าของร้าน/บาริสต้าตัวเล็กๆ ก็ทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่การทำความสะอาดไปจนถึงการเก็บเงิน ทั้งยกเก้าอี้และเคลื่อนย้ายอุปกรณ์หนักด้วยตนเอง
นี่สินะที่เรียกว่าภาระของความฝัน แต่ก็ดูเป็นภาระที่ไม่หนักอึ้งหรือฝืนกลั้น ในทางกลับกัน มันกลับเป็นไปด้วยความเบาสบาย เหมือนวันธรรมดาวันหนึ่งกลางฤดูร้อนในประเทศญี่ปุ่น (แน่ละ ไม่ใช่ฤดูร้อนโลกันต์แบบในไทย)
รอไม่นาน คาปูชิโน่เย็นก็มาอยู่ตรงหน้า นับว่าบาริสต้าปรุงกาแฟได้อย่างรวดเร็ว รสชาติดีทีเดียวแหละ แต่ขณะที่กำลังลิ้มรสหอมกรุ่นอยู่นั้น ฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกลก็เทลงมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามครืนๆ น่ากลัว คงไปไหนไม่ได้เสียแล้วล่ะ นอกจากปักหลักรอให้ฝนคลายเม็ดใน Slowhands Café เล็กๆ ร้านนี้ ฉันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ขณะที่ลูกค้าที่มาก่อนหน้าสองคนกำลังพยายามจัดแจงสิ่งของในการถ่ายภาพ ซึ่งรวมถึงการถ่ายรูปคู่ของตนเองข้างเครื่องทำกาแฟด้วย ตลอดเวลาดังกล่าว บาริสต้าสาวต้องมุดลงนั่งหลบหลังเครื่องทำกาแฟ แลดูเหมือนแมวที่ขดตัวซุกลงในพื้นที่แคบๆ ไม่ให้ใครมองเห็น มองแล้วก็อดสงสารไม่ได้เหมือนกันนะ การเที่ยว Cafe กับการเป็นเจ้าของ Café มันช่างต่างกันเหลือเกิน
ตลอดเวลาที่ฝนโปรยปรายลงมา บาริสต้าก็ได้พักบ้างเป็นระยะ แต่ก็มีลูกค้าเข้ามาตลอดเวลา ส่วนใหญ่เข้ามาสั่งเครื่องดื่ม นั่งรอสักพัก พอได้เรียบร้อยแล้วก็จากไป ดูเป็นความเรียบง่ายบางอย่างที่ฉันชอบ ไม่จำเป็นถืออะไรพะรุงพะรังมานั่งทำงานหรือพบปะสังสรรค์ ร้านกาแฟเป็นเพียงแค่ร้านกาแฟ ผู้คนเข้ามาหาความสุขจากรสชาติของกาแฟ และรอยยิ้มของบาริสต้า แล้วก็เดินจากไป สมัยนี้ร้านกาแฟที่มินิมัลแบบนี้ไม่ค่อยเจอแล้ว นอกจากร้านกาแฟแฟรนไชส์ที่ฉันเองก็ยังชอบอยู่ แต่มันมีความงดงามที่แตกต่างกัน
ระหว่างนั้น มีคนเข้ามาติดต่อขอถ่ายรูปร้านสำหรับทำ scoop แนะนำ ซึ่งรวมถึงการจัดแจงสถานที่ภายในร้านเล็กๆ เพื่อถ่ายภาพด้วย ฉันเองก็ได้แต่กินว่าทำไมช่างภาพต้องเลือกถ่ายแต่เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในร้านกาแฟ สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งสมมติที่ถูกจัดวางไว้ แต่สิ่งที่มีชีวิตชีวาและสำคัญต่อร้านกาแฟมากที่สุดคือเจ้าของร้านและบาริสต้า หากไม่มีพวกเขาเหล่านั้น ร้านกาแฟคงไม่มีวันอยู่ได้ บางครั้งฉันให้ความสำคัญกับผลงานตรงหน้ามากกว่าบุคคลเบื้องหลังที่รังสรรค์ผลงานเหล่านั้น ผมจึงไม่เคยชอบถ่ายรูปช็อต close up แก้วกาแฟสวยๆ หรือบรรยากาศร้านที่ผู้ถ่ายเซ็ตขึ้นมาจนยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด มากเท่ากับอากัปกิริยาของเจ้าของร้าน/บาริสต้ายามทำสิ่งที่พวกเขารัก เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเข้าร้านกาแฟตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ยังอยู่ประถมปลาย จะเรียกว่าโตมากับร้านกาแฟ มีบาริสต้าเป็นพี่เลี้ยงก็ย่อมได้
ฝนใกล้หยุดแล้ว ก่อนจะไป ฉันสั่ง Macha Latte เย็นอีกแก้วหนึ่งเป็นการขอบคุณที่ให้ฉันได้พักหลบฝนอยู่เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ราคาเครื่องดื่มสองแก้วรวมกันยังน้อยกว่ากาแฟสตาร์บัคแก้วเดียว ฉันจึงยินดีจ่ายด้วยความเต็มใจ เจ้าของร้านเชิญชวนให้ฉันถ่ายรูปด้วยความสบายใจ เพราะในร้านไม่มีคนแล้ว พร้อมกันมุดลงไปเป็นแมวขี้อายอีกเช่นเคย ฉันถ่ายรูปสองสามรูปพอเป็นพิธี เพราะ Slowhands Café ได้ ประทับลงในความทรงจำเสียแล้ว
ด้วยความคิดถึง
และราตรีรัตน์
Slowhands Café
ซอยประดิพัทธ์ 23